โดย Expedia Team, 12 January 2018

โครเอเชีย ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวกับที่เที่ยวอันน่าหลงใหล

ความงามของเมืองและวิวทิวทัศน์ของประเทศโครเอเชียนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีมรดกโลกอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าใครต่างก็ยืนยันว่าโครเอเชียเป็นประเทศที่งดงามและควรค่าแก่การไปสัมผัสบรรยากาศริมทะเลเป็นที่สุด

โครเอเชียอยู่ที่ไหน?

croasia-1

ภาพจาก : iStockPhoto

ประเทศโครเอเชียหรือชื่อทางการว่าสาธารณรัฐโครเอเชีย (Croatia) ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปกลาง ยุโรปใต้ และยุโรปตะวันออก ที่ได้รับสมญานามว่า “ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว” มาจากรูปร่างของประเทศที่คล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวหรือเกือกม้านั่นเอง

croasia-2

ภาพจาก : iStockPhoto

โครเอเชียมีอาณาเขตจรดทะเลทำให้ที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวติดทะเลมากมาย สภาพอากาศของที่นี่ค่อนข้างร้อนและแห้ง ส่วนหน้าหนาวก็ไม่ได้หนาวมากอย่างประเทศยุโรปตอนบน อาชีพหลักของคนที่นี่คือทำประมง หากเพื่อนๆ ได้มาเที่ยวโครเอเชียแล้วละก็อย่าลืมลิ้มลองอาหารทะเลสดๆ เพราะนอกจากบรรยากาศจะเลิศแล้ว อาหารทะเลของที่นี่เรียกได้ว่าเด็ดดวงไม่แพ้กัน ส่วนค่าเงินนั้นโครเอเชียใช้เงินสกุลคูนา โดย 1 ยูโรจะเท่ากับ 7.5 คูนา หรือ 5.19 บาทโดยประมาณ

ภาพจาก : iStockPhoto

อยากไปต้องทำอย่างไรบ้าง?

croasia-3

โครเอเชียมีสนามบินอยู่ 3 เมืองด้วยกัน คือ เมืองหลวงซาเกร็บ (Zagreb) เมืองสปลิต (Split) และเมืองดูโบรฟนิค (Dubrovnik) ตอนนี้ในเมืองไทยยังไม่มีสายการบินที่บินตรงไปยังสนามบินในโครเอเชีย แต่เพื่อนๆ สามารถเลือกเดินทางโดยสายการบินอื่นๆ เพื่อต่อเครื่องไปลงที่โครเอเชียได้ เช่น สายการบิน Austrian Airlines ที่จะแวะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศเวียนนา ใช้เวลาในการบินเพียง 12 – 13 ชั่วโมง ซึ่งหากเทียบกับสายการบินอื่นแล้วถือว่าใช้ระยะเวลาสั้นที่สุดและสะดวกมากที่สุด เพราะมีไฟลท์บินมาไทยทุกวันวันละ 1 ไฟลท์ แต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่ซีเรียสกับระยะเวลาในการเดินทางเท่าไร สายการบินอื่นๆ อย่าง Qatar Airways, Turkish Airlines หรือ Lufthansa ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่แพ้กัน

ขั้นตอนการเตรียมวีซ่า

croasia-4

ภาพจาก : iStockPhoto

สำหรับการเตรียมวีซ่าเพื่อที่จะไปโครเอเชียนั้น เพื่อนๆ คนไหนที่มีวีซ่าเชงเก้น (Shengen Visa) แบบมัลติเพิล (Multiple) อยู่แล้วและยังไม่หมดอายุ สามารถเดินทางไปเที่ยวโครเอเชียได้เลยไม่มีปัญหา ส่วนเพื่อนๆ คนไหนที่ไม่มีไม่ต้องกังวลไป การขอวีซ่าเองไม่ยากเลย แต่อาจจะต้องใช้เวลาเตรียมตัวล่วงหน้าสักหน่อย เนื่องจากโครเอเชียยังไม่มีสถานทูตในประเทศไทย มีแต่สถานกงสุลเท่านั้น เพื่อนๆ ต้องโทรศัพท์ติดต่อกับกงสุลเองที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-6855 เพื่อนัดตรวจเอกสาร เอกสารการขอวีซ่าต้องถูกส่งผ่านจากกงสุลในไทยไปยังสถานทูตโครเอเชียที่อินโดนีเซียก่อน แล้วจึงจะส่งพาสปอร์ตกลับมาที่ไทยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะใช้เวลาราว 2 อาทิตย์ ดังนั้นเพื่อนๆ ควรกะเวลาดำเนินการเอกสารต่างๆ ให้ดีก่อนจัดทริป ในส่วนของค่าธรรมเนียมวีซ่าประเภทท่องเที่ยวนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 2,433 บาท เสียค่าบริการให้กับบริษัท VFS ที่จะช่วยจัดการเรื่องรับเอกสารยื่นคำร้องขอวีซ่า 1,200 บาท และค่า Logistic fee อีก 1,600 บาทโดยประมาณ รวมแล้วประมาณ 5,300 บาท สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.vfsglobal.com

โครเอเชีย ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวกับที่เที่ยวอันน่าหลงใหล


สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของโครเอเชีย

croasia-5

ภาพจาก : iStockPhoto

โครเอเชียเป็นประเทศที่มีสถานที่ที่เป็นมรดกโลกอยู่ถึง 10 แห่ง เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม 8 แห่ง และแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติอีก 2 แห่ง เรียกได้ว่าถ้าเพื่อนๆ ได้ไปเที่ยวประเทศนี้บอกเลยว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม เพราะจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งไม่ใช่แค่วิวของเมืองริมทะเลเท่านั้น แต่ยังมีปราสาทเก่า เมืองเก่าที่งดงามอีกมากมายที่รอเพื่อนๆ ไปชมอีกเพียบ ซึ่ง Expedia เองก็ได้คัดมาให้เพื่อนๆ ได้ดูกันด้วยว่าสถานที่ท่องเที่ยวใดที่เพื่อนๆ ไม่ควรพลาดหากได้ไปเที่ยวโครเอเชีย

1

อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ (PlitviceLakes National Park)

1.อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่-PlitviceLakes-National-Park-1

1.อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่-PlitviceLakes-National-Park-2
1.อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่-PlitviceLakes-National-Park-3
ภาพจาก : iStockPhoto

เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในโครเอเชีย มีน้ำตก ป่าไม้ และทะเลสาบ โดยทะเลสาบซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่มีถึง 16 แห่งด้วยกัน สีของน้ำในทะเลสาบของอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาล พื้นที่ และช่วงเวลาในแต่ละวัน มีตั้งแต่เขียวมรกตไปจนถึงสีฟ้า อีกหนึ่งจุดสำคัญที่เพื่อนๆ พลาดไม่ได้คือการเดินไปชมความงามของบิ๊กวอเตอร์ฟอลส์ (Big Waterfalls) น้ำตกใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามของที่นี่ เพื่อนๆ คนไหนที่เบื่อการเดินชมความงามของทะเลสาบแล้วที่นี่เค้ามีบริการล่องเรือชมทะเลสาบโกมยาค (Kozjak) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานอีกด้วยนะ ถ้าเพื่อนๆ ได้ไปเที่ยวที่นี่ละก็ จะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก

ค่าบริการ
เวลาเปิดบริการ
การเดินทาง
พักที่ไหนดี?
ช่วงเวลาการท่องเที่ยว
สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

2

มหาวิหารเซนต์เจมส์ (Cathedral of St. James)

2.มหาวิหารเซนต์เจมส์-Cathedral-of-St.-James-1

2.มหาวิหารเซนต์เจมส์-Cathedral-of-St.-James-2
2.มหาวิหารเซนต์เจมส์-Cathedral-of-St.-James-3
ภาพจาก : iStockPhoto

มหาวิหารนี้ตั้งอยู่ที่เมืองซีเบนิก (Sibenik) เป็นเมืองที่มีบรรยากาศริมทะเลตามแบบเมืองท่า มีคาเฟ่และร้านอาหารตั้งอยู่ริมทะเล ใครที่ชอบเดินชมวิวทะเล ตากแดดตากลมเย็นๆ เมืองนี้เหมาะมาก ซึ่งไฮไลท์ของเมืองนี้ก็คือมหาวิหารเซนต์เจมส์หรือที่คนท้องถิ่นเรียกกันว่ามหาวิหารเซนต์จาค็อบนั่นเอง โดยมหาวิหารแห่งนี้ใช้เวลาสร้างกว่าร้อยปีจึงจะแล้วเสร็จ เพราะรายละเอียดต่างๆ ในการสร้างมหาวิหารแห่งนี้มีเยอะมาก จุดเด่นของมหาวิหารนี้คือการสร้างด้วยหินทั้งหมด ไม่มีซีเมนต์ และไม่ใช้ตัวยึดใดๆ แต่ใช้เทคนิคการประสานเข้าด้วยกันแบบตัวต่อเลโก้ ซึ่งมหาวิหารแห่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะที่เปลี่ยนผ่านจากยุคกอธิคไปสู่ยุคเรอเนซองค์ที่ผสมผสานเข้ากันอย่างงดงาม จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ของโครเอเชียที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดย UNESCO

หลังจากที่เพื่อนๆ เที่ยวชมความงดงามของมหาวิหารเสร็จแล้ว ด้านนอกวิหารมีเมืองเก่าและตลาดให้เดินชมอีกด้วย โดยการเดินชมเมืองถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เพื่อนๆ พลาดไม่ได้ เพราะของที่ระลึกที่นักท่องเที่ยวส่วนมากได้ไปคือรูปถ่ายบรรยากาศเมืองเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์ของเมืองซีเบนิก (Sibenik) นี้เอง

ค่าบริการ
เวลาเปิดบริการ
การเดินทาง
พักที่ไหนดี?
ช่วงเวลาการท่องเที่ยว
สามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดูกาล

3

พระราชวังของจักรพรรดิดิโอคลีเชียน (Palace of Diocletian)

3.พระราชวังของจักรพรรดิดิโอคลีเชียน-Palace-of-Diocletian-1

3.พระราชวังของจักรพรรดิดิโอคลีเชียน-Palace-of-Diocletian-2
3.พระราชวังของจักรพรรดิดิโอคลีเชียน-Palace-of-Diocletian-3
ภาพจาก : iStockPhoto

พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองสปลิต (Split) เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศโครเอเชีย ที่ยังคงรักษาสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างพระราชวังของจักรพรรดิดิโอคลีเชียนอันเก่าแก่มีอายุเป็นพันๆ ปีไว้ได้อย่างสมบูรณ์ จักรพรรดิดิโอคลีเชียนเป็นบุคคลที่สามารถยุติเหตุการณ์อันไม่สงบที่สะสมมาเป็นเวลาหลายปีได้อย่างราบคาบ ทำให้บ้านเมืองสงบไร้ความวุ่นวาย โดยพระราชวังของจักรพรรดิดิโอคลีเชียนแห่งนี้สร้างขึ้นสำหรับประทับในช่วงบั้นปลายชีวิตของพระองค์ ใช้เวลาในการสร้างกว่า 10 ปี และความงดงามเก่าแก่ที่ยังสมบูรณ์นี้ทำให้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปี 1979 อีกด้วย

นอกจากการชมความงดงามของพระราชวังแล้ว ใครที่ชื่นชอบการชมบรรยากาศเมืองเก่า ถ้ามีโอกาสได้มาเดินเล่นจะถูกใจเมืองสปลิตอย่างแน่นอน เพราะเป็นเมืองเก่าแก่ที่ยังมีคนอาศัยอยู่จริงๆ และยังคงรักษากลิ่นอายรวมถึงบรรยากาศความดั้งเดิมของเมืองไว้ได้อย่างสวยงาม

ค่าบริการ
เวลาเปิดบริการ
การเดินทาง
พักที่ไหนดี?
ช่วงเวลาการท่องเที่ยว
สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยบรรยากาศของเมืองในแต่ละฤดูจะแตกต่างกันออกไป

4

เมืองเก่าโทรเกียร์ (Trogir)

4.เมืองเก่าโทรเกียร์-Trogir-1

4.เมืองเก่าโทรเกียร์-Trogir-2
4.เมืองเก่าโทรเกียร์-Trogir-3
ภาพจาก : iStockPhoto

เมืองโทรเกียร์เป็นเมืองที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกจาก UNESCO ตั้งแต่ปี 1997 เพราะเอกลักษณ์ของอาคารบ้านเรือนที่ถูกสร้างด้วยอิฐเก่า และมีผังเมืองตามแบบฉบับกรีก – โรมัน เป็นเมืองเก่าที่ยังคงอนุรักษ์สถาปัตยกรรมในอดีตต่างๆ เช่น ป้อมปราการหรือกำแพงเมืองเอาไว้ได้ เมืองนี้แปลกและน่าสนใจตั้งแต่ทำเลที่ตั้ง เพราะเมืองโทรเกียร์เป็นเมืองเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ห่างจากฝั่งเพียงเดินข้ามสะพานแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น นอกจากนั้นเพื่อนๆ ยังสามารถเดินเล่นรอบเกาะชมทิวทัศน์ของโบสถ์ กำแพงเมือง หรือเดินเล่นในตลาดได้อย่างสบายๆ เพราะเกาะมีขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่เพียงเท่านั้นเมืองโทรเกียร์ยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองสปลิตอีกด้วย ถ้าเที่ยวเมืองสปลิตเสร็จแล้ว เพื่อนๆ คนไหนที่อยากสัมผัสบรรยากาศริมทะเลบนเกาะเล็กๆ น่ารักๆ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ห้ามพลาด

ค่าบริการ
เวลาเปิดบริการ
การเดินทาง
พักที่ไหนดี?
ช่วงเวลาการท่องเที่ยว
ช่วงฤดูร้อน เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม

4

เมืองเก่าดูโบรฟนิค (Dubrovnik)

5.เมืองเก่าดูโบรฟนิค-Dubrovnik-1

5.เมืองเก่าดูโบรฟนิค-Dubrovnik-2
5.เมืองเก่าดูโบรฟนิค-Dubrovnik-3
ภาพจาก : iStockPhoto

เมืองดูโบรฟนิคหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก” เป็นเมืองเก่าซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศโครเอเชียที่ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมเก่าเอาไว้ ทำให้ทิวทัศน์ของเมืองนี้มีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเหตุนี้เมืองดูโบรฟนิคจึงกลายเป็นสถานที่ถ่ายทำหลักที่ใช้ในการถ่ายทำซีรีส์ชื่อดังอย่าง Game of Thrones หากเพื่อนๆ คนไหนที่เป็นแฟนภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเลยว่าห้ามพลาดการตามรอยภาพยนตร์ที่เมืองแห่งนี้เด็ดขาด เพราะสถานที่จริงสวยไม่แพ้ที่เห็นบนจอเลย แลนด์มาร์คหลักๆ ของเมืองก็มีทั้งอาคารศาลาว่าการประจำเมือง (City Hall) หอระฆัง (Bell Tower) โรแลนด์ คอลัมน์ (Roland’s Column) และมีลานน้ำพุมินิโอโนฟริโอ (Grand Fountain of Onofrio) รวมถึงพระราชวังอีกสองแห่ง นั่นก็คือ พระราชวังสปอนซา (Sponza Palace) และพระราชวังเรคเตอร์ส (Rector’s Palace) ให้ได้ไปเที่ยวอีกด้วย

ค่าบริการ
เวลาเปิดบริการ
การเดินทาง
พักที่ไหนดี?
ช่วงเวลาการท่องเที่ยว
สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี